OBD II เป็นช่องเชื่อมต่อมาตรฐาน ที่สามารถบอกค่ารายละเอียดต่างๆ ในการทำงานของเครื่องยนต์ได้อย่างละเอียด เพื่อการแสดงสถานะการทำงาน ร่วมไปถึงอ่านค่าที่หน้าปัดรถยนต์ไม่สามารถบอกรายละเอียดแบบเจาะลึกได้อย่างครบถ้วน
OBD II มาจากคำว่า On-board Diagnostic เป็นมาตรฐานที่กำหนดขี้นร่วมกันโดย SAE และ ISO ซึ่งกำหนดมาตรฐานวิธีการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางดิจิตอล ระหว่างระบบคอมพิวเตอร์ที่ติดตั้งบนรถยนต์ ที่เกี่ยวข้องกับการปล่อยไอเสีย (Emission) กับเครื่องสแกนข้อมูล ทั้งด้านฮาร์ดแวร์ และซอฟท์แวร์ ตำแหน่งการติดตั้งรหัสบันทึกความบกพร่องที่ตรวจพบ (Malfunction Indicator Light : MIL) แล้วแสดงค่าออกมาให้คนขับหรือช่างได้รู้ถึงปัญหานั้น
ในปี 1988 The California Air Resources Board (CARB) ได้กำหนดความต้องการไว้ว่า รถยนต์ทุกคันต้องมีระบบที่สามารถแยกแยะปัญหาการขัดข้องที่เกี่ยวข้องกับการปล่อยไอเสีย (emission system) และระบบควบคุมเครื่องยนต์ (powertrain system) ซึ่งเรียกว่าระบบ OBD I ในขณะเดียวกัน CARB ยังได้กำหนดมาตรฐาน OBD II ขึ้นมา และให้มีผลบังคับใช้กับรถยนต์ทุกคันในอเมริกา ตั้งแต่ปี 1996 เพื่อจะได้เป็นแนวทางใหม่ให้กับช่างในการแก้ปัญหา การซ่อมเครื่องยนต์ และระบบควบคุมการปล่อยไอเสีย นอกจากระบบ OBD II จะสามารถตรวจสอบและแจ้งเตือนความผิดปกติได้แล้ว อีกหนึ่งวัตถุประสงค์ที่ SAE บังคับใช้ระบบ OBD II กับรถยนต์ทุกประเภทนั้น ก็เกี่ยวข้องโดยตรงกับมาตรฐานมลพิษทางไอเสีย ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากรถยนต์คันหนึ่ง มีระบบการเผาไหม้ที่ผิดปกติ หรือมีระบบกรองไอเสียที่ผิดปกติ จนทำให้มีปริมาณไอเสียเกินมาตรฐาน ระบบ OBD II จะแจ้งเตือนโดยการโชว์ไฟเตือนที่แผงหน้าปัดโดยทันที เพื่อให้ผู้ขับขี่จะได้นำรถยนต์เข้าไปตรวจสอบที่ศูนย์บริการเพื่อหาสาเหตุต่อไป
ตำแหน่ง PIN ของปลั๊ก OBDII
ค่าที่อ่านได้จากพอร์ต OBDII จะเป็นโค้ดสี่หลัก
โดยเราสามารถทราบถึงปัญหาเบื้องต้นได้โดยการอ้างอิงจากรูปด้านบน
ข้อมูลที่ได้จากอุปกรณ์ OBD II แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ
หน้าที่เข้าชม | 346,618 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 196,939 ครั้ง |
ร้านค้าอัพเดท | 6 ก.ย. 2568 |